ในช่วงเกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2008 ธนาคารกลางทั่วโลกได้ทำการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์ โดยมีการปรับเป็นลบ พูดง่ายๆ ก็คือฝากเงิน ไว้กับธนาคาร แต่ไม่ได้ดอกเบี้ย แถมจะเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารซะอีก ซึ่งประชาชนส่วนมากจึงทำการเก็บเงินสดไว้กับตัวแทนที่จะฝากธนาคารเพื่อเสียค่าธรรมเนียม
และมาถึงปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจของโลกก็ประสบปัญหาเหมือนปี 2008 แต่ความรุนแรงน่าจะแรงกว่า ด้วย ณ ตอนนี้ก็เกินสงครามค่าเงินกันระหว่างดอลล่ากับหยวน โดยสหรัฐพยายามทุกวิถีทางที่ไม่ให้หยวนของจีน ก้าวมาเป็นเบอร์ 1 แทน แต่ด้วยสภาวะหนี้สินที่สหรัฐสร้างขึ้นมาเองจากการทำ QE ก็ส่งผลให้สภาวะเศษฐกิจทั่วโลกต้องได้รับผลกระทบกันไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ การเงินการธนาคาร ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านไป อย่างเช่น การออกพันธบัตรแต่ไม่มีดอกเบี้ยให้ การจำกัดการถอนเงิน การลดดอกเบี้ยเงินฝาก เป็นต้น
ในปีนี้การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้เป็นลบนั้น เริ่มจากธนาคารที่โซนยุโรปก่อน จากนั้นก็มาที่ญี่ปุ่น และหลังจากที่มีการปรับดอกเบี้ยเป็นลบนั้น คนก็เลยนำเงินสดออกมา แต่ธนาคารในโซนยุโรปได้มีการจำกัดการถอนเงินสด อยู่ที่ไม่เกิน 500 ยูโร โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการหมุนเวียนการสนับสนุนเงินทุนของการก่อการร้าย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมีการก่อการร้ายหลายต่อหลายครั้งในพื้นที่ประเทศยุโรป แต่ประชาชนก็ยังต้องการนำเงินสดออกมาเพื่อนำไปเก็บในรูปแบบอื่น เช่น ทองคำ หรือหุ้นพื้นฐานดี และอีกส่วนหนึ่งก็มีการนำไปลงทุนในกลุ่มเงินดิจิตอล เช่น บิทคอยน์ หรือเหรียญอื่นๆ ซึ่งการเติบโตของตลาดรับแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสดและเงินดิจิตอลนั้น มีการเจริญเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ที่มาของข่าว Cointelegraph
ซื้อขายบิทคอยน์เป็นเงินบาท สมัคร bx เลย
Sign up here with your email
ConversionConversion EmoticonEmoticon