collectcoineasy

collectcoineasy

บิทคอยน์คืออะไร ใช่เงินจริงๆ หรือเปล่า

บิทคอยน์คืออะไร บางคนอาจจะรู้จักในความหมายที่ว่ามันคือ "เงิน" แต่ก็ยังอดสงสัยว่า มันจะเป็นเงินได้ไง ในเมื่อมันแค่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา

หลายๆ คนอาจจะยังสงสัย หรือยังงงๆ กับบิทคอยน์ว่า สรุปจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ จะเทียบว่าเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ไหม หรือว่าเป็นแค่สิ่งที่อุปโลกน์กันขึ้นมาเองของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีการกำหนดมูลค่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อหลอกลวงกัน เพราะที่จริงแล้วมันเป็นแค่ ชุดตัวเลข หรือข้อมูลอะไรสักอย่างที่คนเขาอยากจะเรียกกัน แค่นั้นเอง มันไม่สามารถจับต้องได้ ถือไปไหนมาไหนได้ แน่นอนคนที่ได้เข้ามารู้จักกับบิทคอยน์ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางการเห็นโฆษณาในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น
ทางอินสตาแกรม Facebook, Line, Hi5, msn ฯลฯ ที่กล่าวประมาณว่า "ทำงานออนไลน์ แล้วได้เงินเป็นบิทคอยน์" หรือประมาณว่า"หารายได้จากบิทคอยน์" หรือจากเงินดิจิตอล ล้วนแต่มีข้อสงสัยว่า บิทคอยน์คืออะไร มาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เคยได้เขียนอธิบายในบทความ บิทคอยน์ คืออะไร แล้ว แต่ก็ยังมีคนที่สงสัยกันอยู่ ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ผมเข้ามารู้จักกับเงินดิจิตอลนั้น ก็งงเหมือนกับทุกๆ คนที่เข้ามาใหม่นั้นแหละครับ ซึ่งในบทความนี้ผมจะอธิบายที่มาที่ไปของบิทคอยน์ให้ทราบแบบเข้าใจง่ายๆ กัน 


ก่อนที่จะไปถึงบิทคอยน์ ผมอยากให้ทุกคนรู้จัก Blockchain กันก่อน 

อธิบายแบบภาษาง่ายๆ Blockchain ก็คือระบบการโครงข่ายการเชื่อมต่อหว่างกัน ที่เป็นแบบ P2P(Peer 2 Peer) มันก็จะคล้ายๆ กับระบบโครงข่ายอินเตอร์เน็ตสมัยนี้ แต่มันเหนือกว่าตรงที่ว่าแต่ละจุดที่อยู่ใน โครงข่ายจะเชื่อมต่อแบบซึ่งกันและกัน ลองนึกภาพว่าเป็นเหมือนตาข่าย ที่มันทักทอต่อกันจุดต่อจุด โดยที่ปลายของตาข่ายก็ยังสร้างขึ้นมาเชื่อมโยงกันเรื่อยๆ เนื่องจากมีการใช้งานตลอดเวลา แต่ล่ะจุดก็เปรียบเทียบเหมือนกับคน หรือ node ที่อยู่บน Blockchain

 

หลังจากที่มีการเชื่อมต่อกัน ก็มีการส่งข้อมูลระหว่างกัน โดยการบรรจุข้อมูลเป็นบล็อก (Block) และนำแต่ล่ะบล็อกเชื่อมต่อกันเป็นสาย จึงเรียกว่า Blockchain ความพิเศษของมันก็คือว่า ข้อมูลที่เข้าสู่ระบบ Blockchain นั้นเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะเมื่อมีการส่งข้อมูลจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง ข้อมูลนั้นจะถูกตรวจสอบและเก็บไว้ในบล็อกอื่นๆ ที่อยู่บน Blockchain เดียวกันด้วยจนกว่าจะถึงปลายทางที่ถูกต้อง นั่นก็คือ เราไม่สามารถแก้ไขข้อมูลที่อยู่ภายในบล็อกได้เลย เพราะถ้าจะแก้ ก็ต้องแก้ทั้งระบบ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก จนไม่มีเลย เพราะทุกๆ วินาทีก็จะมี Block ใหม่สร้างขึ้นมาและต่อกับ Block ก่อนหน้ามาเรื่อยๆ


ทีนี้มาดูที่บิทคอยน์ กันบ้าง

จากที่ผมได้ค้นคว้ามา บางคนก็กล่าวว่าสาเหตุที่ต้องการสร้างเงินดิจิตอลขึ้นมาก็เพื่อ ไม่ต้องการที่จะให้ธนาคารผูกขาดเรื่องการกำหนดมูลค่าของเงินบ้าง อยากให้คนที่ถือเงินเป็นผู้กำหนดมูลค่าของมันเอง ไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมจำนวนมากในการส่งเงินข้ามประเทศบ้าง ไม่อยากให้โลกเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ เงินฟืดบ้าง ฯลฯ ซึ่งนายซาโตชิ นากาโมโต (นามปากกา) ก็ได้สร้างเงินดิจิตอลที่เรียกว่าบิทคอยน์ขึ้น โดยเขียนโค้ดที่มี Algorithm แบบ SHA256 ลงในบล็อกของระบบ Blockchain และโดยกำหนดให้มีแค่ 21 ล้านเหรียญ เท่านั้น และการที่จะได้เหรียญบิทคอยน์มานั้น เราก็ต้องทำหน้าที่ยืนยันรายการการโอนบิทคอยน์ โดยการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผล(ในยุคแรก)(หรือที่เรียกว่าขุด (mining) นั้นเอง) ซึ่งบิทคอยน์ที่ได้มานั้นจะเป็นรางวัลสำหรับคนที่ยืนยันรายการหรือประมวลผลบล็อกนั้นๆ ได้ก่อนและถูกต้องด้วย และรางวัลนั้นจะมีการปรับลด 50% ทุกๆ ครั้งเมื่อมีการขุดบล็อกเจอครบ 210,000 บล็อก หรือระยะเวลาก็ราวๆ 4 ปี จะมีการปรับลดรางวัลหนึ่งครั้ง (เริ่มแรกรางวัลต่อบล็อก 50 BTC ปัจจุบัน เหลือ 12.5 BTCต่อบล็อก)

ในยุคแรกที่เริ่มมีบิทคอยน์เหรียญแรกออกมา ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะอาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มันน่าเชื่อถือเท่ากับเงินสดที่ถืออยู่ในมือ หรือนอนอยู่ในธนาคารรึเปล่า จึงมีแค่คนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ใช้งาน แต่เนื่องจากบิทคอยน์มันทำงานอยู่บน Blockchain ซึ่งคุณสมบัติของ Blockchain ตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างบนว่ามันไม่สามารถแก้ไข ไม่สามารถทำซ้ำได้ และสามารถดูทุกรายการที่เกิดขึ้นใน Blockchain ได้ จึงทำให้บิทคอยน์เป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะด้วยความที่ว่าสิ่งที่เราจะพิจารณาว่ามันเป็นสิ่งที่มีมูลค่าได้นั้นต้องมีคุณสมบัติเด่นๆ คือ ทำซ้ำไม่ได้ ปลอมแปลงไม่ได้ หายาก มีความนิยม (ลองเปรียบเทียบเช่น ทองคำ เพชร) ซึ่งบิทคอยน์ก็เข้าทุกข้อ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนถึงใช้งานบิทคอยน์กัน แต่เพราะโลกยังอยู่ภายใต้ระบบการเงินแบบธนาคารที่ผูกขาดมาช้านาน การใช้งานบิทคอยน์จึงอาจทำได้ไม่เต็มที่ โดยจะเห็นว่าบางประเทศยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่บางประเทศก็มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว ดังนั้นจึงจะเห็นว่าราคาของมันจึงขึ้นๆ ลงๆ บ่อยๆ พูดง่ายๆ เลยมันมีความผันผวนมากๆ ปัจจัยที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ผันผวนให้คลิ๊กอ่านตรงนี้



แล้วถ้าบิทคอยน์ครบ 21 ล้านเหรียญแล้วล่ะจะทำอย่างไร คนจะเลิกใช้ไหม

เมื่อบิทคอยน์ถูกขุดมาใช้ครบแล้ว หรือออกมาครบแล้ว ผมคงการันตีไม่ได้ว่าจะมีคนใช้อยู่ไหมเพราะกว่ามันจะออกมาครบป่านนั้นผมคงนอนคุยกับหนอนแล้วล่ะ ลองคำนวณดูได้ครับ ว่าอีกกี่ปีถึงจะมีออกมาครบ 21 ล้านเหรียญ ตามที่ซาโตชิได้กำหนดไว้เริ่มแรกรางวัลต่อบล็อก 50 BTC และจะลดทุกๆ 50% เมื่อบล็อกมีการขุดเจอครบ 210,000 บล็อก ดูโค้ดเริ่มต้นการสร้างเหรียญบิทคอยน์คลิ๊กตรงนี้  จากบรรทัดที่ 1100-1101 นะครับ

เอามาคำนวณใน excel ดูก็จะได้ตามรูป คอลัมน์แรกเป็นปี คอลัมน์ที่สองเป็นจำนวนรางวัลต่อบล็อก คอลัมน์ที่สามเป็นจำนวนบิทคอยน์ที่จะขุดได้ก่อนที่จะครบ 210,000 บล็อก

   

จะเห็นว่าน่าจะราวๆ ปี ค.ศ. 2136 หรือประมาณ พ.ศ. 2679 ที่เหรียญบิทคอยน์จะปล่อยออกมาหมด ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อจำนวนบิทคอยน์น้อยลง แต่ความต้องการมากขึ้น ราคาก็มากขึ้น นั่นก็คือโอกาสในการทำกำไร ของนักลงทุนสำหรับเงินดิจิตอล และจนถึงเวลานั้น ไม่แน่ราคาบิทคอยน์ 0.00000001 btc อาจจะเท่ากับ 1 บาทสมัยนี้ก็เป็นได้

 ในมุมมองของผมเอง บิทคอยน์มันมีมูลค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่มันจะมีเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเงินสกุลหลักของโลกที่จะมากำหนดมูลค่าของบิทคอยน์(ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะเป็นดอลล่าสหรัฐ) สิ่งสำคัญนั้นมันอยู่ที่เทคโนโลยีบล็อกเชนมากกว่า เพราะด้วยความที่มันสามารถรับ-ส่ง สิ่งของที่มีมูลค่าได้ (ซึ่งบิทคอยน์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว) มันสามารถที่จะต่อยอดไปได้อีกไกล

การที่บิทคอยน์ได้รับความนิยมนั้น อาจเป็นเพราะมันคือเงินดิจิตอลสกุลแรกที่เกิดขึ้นมา ในอนาคตถ้าธนาคาร หรือหน่วยงานที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกสามารถสร้างเงินดิจิตอลที่จะเป็นสกุลเดียว และเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ได้ทุกที่ทั้วโลก และทำให้เป็นที่นิยมได้ ไม่แน่บิทคอยน์อาจจะหมดความสำคัญก็ได้ หรืออาจจะมีการนำสิ่งที่มีมูลค่าอื่นๆ มาใส่โค้ด และให้ทำงานบนบล็อกเชน อย่างในปัจจุบันที่เราเห็นและได้ยินข่าวว่าสถาบันการเงินต่างๆ เริ่มที่จะพัฒนาและศึกษาเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์บ้านเราก็เริ่มนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ด้วยเช่นกัน หรือ!!อะไรๆ ก็ไม่สามารถล้มบิทคอยน์ลงได้ และมันก็กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลกที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก ทดแทนเงินกระดาษที่มันจับต้องได้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่คนสมมุติขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

Previous
Next Post »